P’AOM Faculty of Law, Thammasat University LL.M. University of Minnesota ทำไมถึงเลือกเรียนต่อปริญญาโทในประเทศอเมริกา เริ่มตั้งแต่สมัยเด็กๆเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศอเมริกา 1 ปี รู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก และเคยไปโครงการ work and travel ที่ประเทศอเมริกาด้วย เลยรู้สึกคุ้นเคยกับประเทศ วัฒนธรรม สำเนียง พอจะต้องมาเรียนต่อปริญญาโทเลยมุ่งมาที่ประเทศอเมริกาเลยค่ะ การเตรียมตัวไปเรียนต่อยากไหมคะ ต้องบอกก่อนว่าประเทศอเมริกามหาวิทยาลัยขึ้นชื่อนั้น การสมัครเรียนนั้นต้องสมัครด้วยตนเอง ไม่สามารถสมัครผ่าน agency ได้ ดังนั้นการสมัครค่อนข้างยุ่งยากนิดนึงค่ะ คือแต่ละมหาวิทยาลัยมี requirement ไม่เหมือนกัน ต้องศึกษาดีๆว่าแต่ละมหาวิทยาลัยต้องการเอกสารอะไรบ้าง บางเอกสารต้องเป็นแบบ seal ห้ามมีการแกะทั้งสิ้น และแต่ละมหาวิทยาลัยเวลาปิดรับสมัครก็ไม่เท่ากัน แต่ประเทศอเมริกาปิดรับสมัครค่อนข้างเร็วถ้าเทียบกับประเทศอังกฤษ เวลาสมัครเรียนเอกสารต้องครบเลยรวมถึงคะแนน toefl ด้วย ไม่งั้นทางมหาวิทยาลัยจะยังไม่พิจารณาเราเลย ต้องเตรียมพร้อมมากๆจริงๆ ทำไมถึงเลือกเรียนที่ University of Minnesota, Law School ตอนที่เลือกมหาวิทยาลัย จะเลือกตาม Ranking ตั้งใจเลือกอันดับกลางๆจริงๆคือกลัวเรียนหนัก (หัวเราะ) University of Minnesota ติดอันดับ law school ranking ประมาณอันดับที่ 19-20 (ซึ่งถือว่าดีมาก เพราะในอเมริกามีมหาวิทยาลัยเป็นร้อยเลย) ส่วนคณะอื่นค่อนข้างดังเหมือนกันโดยเฉพาะแพทย์ เป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่มากๆ ห้องสมุดติดอันดับ เหมือนเป็นเมืองเล็กๆ แต่มีนักศึกษาเป็นหมื่นคน เมือง Minneapolis ก็เป็นเมืองใหญ่ที่น่าอยู่และปลอดภัย ตอนที่สมัครมหาวิทยาลัยนี้ก็เป็นที่เดียวที่มีอาจารย์โทรมาสัมภาษณ์…อาจารย์ก็จะถามเรื่องทั่วไปและถามว่าหลังจากที่จบมาทำอะไรอยู่ก่อนที่จะมาเรียนต่อ เหมือนให้เราพูดภาษาอังกฤษไปเรื่อยๆ คงจะดูว่าเราพูดได้ไหม พอรู้ว่าได้ ก็มีการโทรไปปรึกษารุ่นพี่ที่รู้จัก พอฟังและรู้สึกว่าน่าอยู่มากๆ เลยตัดสินใจเลือกมหาลัยนี้เลยค่ะละก็ไม่ผิดหวังเลยค่ะ 1 ปีทีเรียนถือว่าคุ้มสุดๆ สนุกมากๆ เปิดเรียน เป็นอย่างไรบ้างคะ ยากมากค่ะ (หัวเราะ) คือ ทางมหาวิทยาลัยจะให้นักเรียนที่เรียน LLM ลงเรียนวิขา introduction to US law ประมาณ 1 เดือน และค่อยเปิดเรียนจริง ที่บอกว่ายากมากเพราะปีนั้นมี นักเรียนต่างชาติที่เรียนหลักสูตร LLM ประมาณ 40 คน มาจากหลากหลายประเทศ โดยพี่เป็นคนไทยคนเดียวทั้ง law school เลยไม่รู้จะปรึกษาใครเพื่อนๆชาติอื่นเก่งๆกันทั้งนั้น จำได้ว่าวันแรกที่ไปเรียนต้องอ่านหนังสือประมาณ 20 หน้า ใช่เวลาอ่านนานมากเครียดมาก แต่ก็ต้องพยายาม คำศัพท์กฎหมายทั้งนั้นเลย ก็อ่านไปปิด dict ไป แต่เหมือนพอเราอ่านไปเรื่อยๆ ทักษะการอ่านจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆค่ะ เหมือนคำศัพท์ที่เจอก็จะเป็นคำเดิมๆ การเรียน Law school มีหลักสูตรคือ J.D และ LLM โดย JD จะเรียนทั้งหมด 3 ปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง มีคนจีนประมาณ 5% ซึ่ง JD จะเข้ายากมาก ต้องสอบ LSAT ส่วน LLM เป็นหลักสูตรสำหรับต่างชาติที่จะมาเรียนโทแบบพวกเรา คือเรียนหลักสูตรประมาณ 1 ปี ซึ่งพอเปิดเทอมแล้ว ทั้ง LLM และ JD จะเรียนรวมกัน ซึ่งใน U of M, Law School มีนักเรียนต่างชาติน้อยมาก ดังนั้นแต่ละ class จะมีแต่คนอเมริกัน การเรียนจะแบ่งเป็น 2 เทอม ต้องเรียนรวมกันให้ได้ 24 หน่วยกิต สำหรับ LLM เลือกได้ตามที่อยากเรียน จะมี class lecture และ อีก class นึงที่เรียกว่า seminar คือ class นี้จะเหมือนเป็นการ discuss ซะส่วนใหญ่ คนจะเรียนประมาณ 10 คนต่อห้องค่ะ ถ้าเป็น class lecture จะมีการสอบ final ครั้งเดียวต่อเทอม การสอบก็จะมีแบบ take home และสอบในห้องตามปกติ แต่บางวิชาจะเป็นการเขียน essay ค่ะ ก่อนจะลงเรียนก็ต้องอาจต้องดูก่อนว่าวิชาที่เราจะเรียนสอบแบบไหน การเรียนที่อเมริกาต่างกับประเทศไทยอย่างไรคะ ถ้าพูดถึงการเรียนกฏหมายที่พี่ไปเรียน แตกต่างมากค่ะ เริ่มจากเปิดเทอมวันแรก วันแรกนั่งที่ไหน ต้องนั่งที่เดิมตลอดเทอมเลยคะ เพราะว่าอาจารย์จะมี seating chart คือเป็นเหมือนแผนผังที่นั่งพร้อมชื่อ และวันแรกที่ไปเรียน ทุก class เรียนเลยคือ จะแจก syllabus ของทั้งเทอม เขียนละเอียดมากว่า วันที่ 1 เรียนเรื่องอะไร ต้องอ่านหนังสือหน้าไหนถึงหน้าไหน อ่านเคสไหน ละเอียดมาก คือตอนแรกๆที่ไปเรียนพี่ก็ยังไม่รู้ อ่านไปเฉยๆ คือไม่ได้ลงรายละเอียด เพราะคิดว่าเดี๋ยวอาจารย์ก็สอน พอไปเรียนเท่านั้นแหล่ะ คือ อาจารย์เค้าจะไม่สอนในสิ่งที่เราอ่านมา จะถือว่าทุกคนรู้แล้ว เค้าจะสอนนอกเหนือกจากนั้น เอาหลักที่อยู่ในหนังสือและสอนต่อยอดไป ฝึกให้เด็กคิด เช่นถามว่าเคสนี้ศาลตัดสินแบบนี้ เห็นด้วยหรือไม่ เหตุผลคืออะไร ซึ่งจะไม่เหมือนการสอนบ้านเราที่เป็นแบบสอนไปตามบทเรียน และอีกอย่างคือ อาจารย์ call on เด็กนักเรียนทุกคน สลับกันไปค่ะ พี่เจอบ่อยมาก เนื่องจากชื่อภาษาไทยของพวกเราค่อนข้างโดดเด่น (หัวเราะ) อีกอย่างที่ค่อนข้างต่างคือ ทุกคนที่ไปเรียนจด lecture ด้วย laptop และอีกอย่างคือพวกที่เรียนหลักสูตร JD ที่เรียนห้องเดียวกับพี่ เค้าจะทำสรุปเป็น outline ของที่อาจารย์ให้อ่านแต่ละวันไว้ก่อนเรียน หลังๆพี่ก็ทำตามค่ะ คือ มันช่วยให้เราจด lecture เพิ่มเติมลงไปได้เลย ละพอเราจะสอบ เราก็ไม่ต้องอ่านหนังสือทั้งเล่ม อ่านแค่ outline ก็จะพอ อันนี้แนะนำให้ทุกคนทำเลยค่ะ เรียนที่อเมริกา 1 ปีนั้นเรียกว่าเรียนหนักมากๆค่ะ คือ ต้องอ่านทุกวัน บางวันอ่านรวมๆกันเกือบ 100 หน้าเลยค่ะ บางเคสมีประมาณ 50 หน้า แต่พี่ถือว่าพี่คิดไม่ผิด เพราะว่าเราได้ความรู้ ได้ประสบการณ์ มันทำให้ภาษาอังกฤษพี่พัฒนาขึ้นมาก ทั้งอ่านและเขียน เป็นประโยชน์ต่อการทำงานในอนาคตมากๆค่ะ สุดท้ายอยากฝากอะไรถึงน้องๆที่สนใจอยากไปเรียนไหมค่ะ ก็อยากจะบอกว่า น้องๆคนไหนที่สนใจอยากมาเรียน ก็อยากให้ศึกษาแต่ละมหาวิทยาลัยให้ดี ไม่ว่าจะไปประเทศอังกฤษหรืออเมริกา ซึ่งการเรียนอาจแตกต่างกัน แต่ไม่ว่าไปที่ไหน พี่เชื่อว่าน้องๆจะได้รับประโยชน์ที่สูงสุดค่ะ นัดเข้ามาพูดคุยหรือปรึกษาพี่ๆ consultant ที่มีประสบการณ์ตรงในการศึกษาต่อต่างประเทศและพร้อมให้คำแนะนำแบบ insight ที่ Mango Learning Express โทร 085-188-8808